Language & Currency
https://i1.wp.com/www.pingpongsport.com/image/cache/catalog/pingpongsport/pps-ปิงปอง-history-1920x1080.jpg
user image

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส (ปิงปอง)

  • 19 Sep 2024
  • |   0 ความคิดเห็น

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส (ปิงปอง)

เทเบิลเทนนิส หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ปิงปอง" เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยความท้าทายที่ผู้เล่นต้องอาศัยไหวพริบและความคล่องแคล่วในการรับ-ส่งลูก กีฬาชนิดนี้ไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมสันทนาการ แต่ยังได้รับการบรรจุในการแข่งขันระดับโลกอีกด้วย


จุดกำเนิดของกีฬาปิงปอง

กีฬาปิงปองเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1890 (พ.ศ. 2433) ที่ประเทศอังกฤษ ในยุคแรกนั้น อุปกรณ์ที่ใช้เล่นมีลักษณะแตกต่างจากปัจจุบัน โดยไม้ปิงปองทำจากไม้หุ้มด้วยหนังสัตว์ ส่วนลูกทำจากเซลลูลอยด์ซึ่งเป็นพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อลูกกระทบกับโต๊ะปิงปองและไม้ตีคือที่มาของชื่อ "ปิงปอง" (PINGPONG)


วิวัฒนาการของเทคนิคการเล่น

ในช่วงแรก วิธีการเล่นเน้นไปที่การยัน (BLOCKING) และดันกด (PUSHING) ต่อมาได้พัฒนาเป็นการเล่นแบบถูกตัด (CROP) ซึ่งเป็นที่นิยมในยุโรป การจับไม้ปิงปองมีสองแบบหลัก คือ แบบจับมือ (SHAKEHAND) หรือ "แบบยุโรป" และแบบจับปากกา (PEN-HOLDER) หรือ "แบบจีน"

ปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) มีการเปลี่ยนมาใช้ไม้ปิงปองที่ติดยางปิงปองแบบเม็ดแทนหนังสัตว์ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคนิคการเล่นแบบรุก (OFFENSIVE) ทั้งหน้ามือ (FOREHAND) และหลังมือ (BACKHAND) มากขึ้น


การก่อตั้งองค์กรระดับโลก

ในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) มีการจัดตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLE TENNIS FEDERATION : ITTF) ที่กรุง London แล้วมีการจัดแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลกในครั้งแรก


ยุคทองของญี่ปุ่นและจีน

ช่วงปี ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) ญี่ปุ่นเริ่มให้ความสนใจกับกีฬาเทเบิลเทนนิสมากขึ้น โดยพัฒนาเทคนิคการเล่นที่เน้นการตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง รวมถึงการใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้พัฒนาไม้ปิงปองโดยใช้ยางปิงปองเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่น

ต่อมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้พัฒนาเทคนิคการเล่นที่ผสมผสานระหว่างการโจมตีแบบรวดเร็วและการป้องกัน ทำให้สามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ และกลายเป็นประเทศชั้นนำในวงการเทเบิลเทนนิส


การพัฒนาอุปกรณ์และเทคนิค

ในช่วงทศวรรษ 1970 มีการพัฒนาเทคนิคการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก และมีการปรับปรุงยางปิงปองให้มีความยาวของเม็ดยางมากกว่าปกติ ทำให้สามารถเปลี่ยนวิถีการหมุนและทิศทางของลูกได้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาอุปกรณ์และเทคนิคการเล่นใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กีฬาเทเบิลเทนนิสแพร่หลายไปทั่วโลก


เทเบิลเทนนิสในประเทศไทย

แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด แต่คนไทยรู้จักและเล่นกีฬาชนิดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเรียกว่า "ปิงปอง" ในปี พ.ศ. 2500 มีการจัดตั้งสมาคมเทเบิลเทนนิสสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และเริ่มมีการจัดการแข่งขันระดับชาติ รวมถึงการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน


ลักษณะเฉพาะของกีฬาเทเบิลเทนนิส

เทเบิลเทนนิสเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทักษะหลายด้าน เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่เล่นบนโต๊ะปิงปองที่มีขนาดเพียง 4.5 ฟุต x 5 ฟุต และลูกปิงปองที่มีน้ำหนักเบาเพียง 2.7 กรัม ผู้เล่นต้องมีความแม่นยำและรวดเร็วในการตีลูกกลับ

การเล่นเทเบิลเทนนิสช่วยพัฒนาทักษะหลายด้าน ได้แก่:

  • สายตา: ต้องจ้องมองลูกตลอดเวลา
  • สมอง: ต้องคิดและวางแผนอย่างรวดเร็ว
  • มือและข้อมือ: ต้องควบคุมไม้ปิงปองอย่างแม่นยำ
  • แขน: ต้องมีพละกำลังและความอดทน
  • ลำตัว: ใช้ในการตีลูกบางจังหวะ
  • ขาและเท้า: ต้องเคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่ว

กติกาพื้นฐานในการเล่นเทเบิลเทนนิส

  • การเสิร์ฟ: ต้องโยนลูกขึ้นไปในอากาศสูงไม่น้อยกว่า 16 เซนติเมตร
  • การรับลูก: ต้องตีลูกให้ข้ามตาข่ายหลังจากลูกกระทบแดนของตนครั้งเดียว
  • การนับคะแนน: ผู้เล่นที่ทำได้ 11 คะแนนก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ ยกเว้นกรณีที่คะแนนเสมอกันที่ 10-10 จำเป็นจะต้องได้ 2 แต้มติดต่อกัน จึงจะชนะ
  • ประเภทการแข่งขัน: มีทั้งประเภทเดี่ยวและประเภทคู่ กรณีถ้าเป็นการเล่นประเภทคู่ ให้เสิร์ฟ "คนละ" 2 ลูก และต้องเสิร์ฟในแนวทแยง เริ่มเสิร์ฟที่ฝั่งขวาเท่านั้น คนที่รับลูกเสิร์ฟ จะเป็นคนที่เสิร์ฟในคนถัดไป ให้คนที่ยังไม่เคยเสิร์ฟ รับลูกแทน สลับกันไปเรื่อยๆ

เทเบิลเทนนิสได้รับการบรรจุเป็นกีฬาโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมและการยอมรับในระดับนานาชาติของกีฬาชนิดนี้


ปัจจุบัน เทเบิลเทนนิสยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะกีฬาสมัครเล่นและกีฬาอาชีพ การพัฒนาของไม้ปิงปอง ยางปิงปอง และเทคนิคการเล่นยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กีฬาชนิดนี้ยังคงความน่าสนใจและท้าทายสำหรับผู้เล่นทุกระดับ